การเลี้ยงลูก ให้มีความสุข
มีพ่อแม่หลายคนบ่นให้ฟังว่า ตอนไม่มีลูกก็อยากมี แต่พอมีก็เหนื่อย แต่มีเหตุผลที่ยอมเหนื่อย เพราะความรักที่มีให้ลูก พ่อแม่หลายต่อหลายคน ยอมสละความสุขส่วนตัวเพื่อลูกได้เสมอ แต่ในบางจังหวะของชีวิตก็อยากจะพักใจบ้างแต่ก็ทำได้ไม่บ่อยนัก เพราะ การเลี้ยงลูก เป็นอาชีพที่พ่อแม่ร่วมใจกันเลือก ฉะนั้นจะลาออกก็ยากจะเว้นวรรคยิ่งยากใหญ่
เมื่อทุกอย่างถูกกำหนดมาว่าเราต้องเป็นพ่อ แม่ ลูก กันแล้ว เราก็มาดูว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้เราเลี้ยงลูกให้มีความสุขได้ทั้งกายและใจ
-
ทัศนคติที่ดีในการเลี้ยงลูก พ่อแม่มีความคิดที่ดีต่อการมีลูกว่า โชคดีที่ได้มีลูก เพราะลูกคือสิ่งที่ดี การมีลูกก็เหมือนการได้รับของขวัญอันล้ำค่า ดังนั้นเพียงแต่คิดถึงลูกก็รู้สึกดี มีความสุข กำลังใจเกิดขึ้น
2. การดูแลเลี้ยงลูก พ่อแม่ควรให้ความสำคัญว่าเด็กยังช่วยตนเองไม่ได้ ต้องได้รับการเลี้ยงดูและพึ่งพิงจากผู้ใหญ่ พ่อแม่จึงตระหนักถึงความสำคัญในการดูแล อบรมสั่งสอนเสริมสร้างอย่างต่อ เนื่องด้วยความเข้าใจ ด้วยความอดทน และด้วยความสุขที่ได้ให้การดูแลใส่ใจลูก
3. ความรัก ความอบอุ่น พ่อแม่ควรให้ความรักความอบอุ่นแก่ลูกอย่างเหมาะสม รักลูกให้มากพอ โดยการแสดง และเอ่ยคำดีๆ ให้ลูกได้รับรู้ถึงความรักที่พ่อแม่มีต่อเด็ก อย่างคำพูดที่ว่า “กอดลูก วันละนิดจิตแจ่มใส” หรือ “วันนี้คุณกอดลูกหรือยัง” เพราะการสัมผัสทางกาย ก็เป็นการถ่ายทอดความรัก ความอบอุ่นไปสู่ลูกได้ดี และความรักของพ่อแม่ยังเป็นรักที่ไม่มีเงื่อนไข “รักเพราะเป็นลูก” และเป็นความรักที่มากพอที่ทำให้ลูกเรียนรู้ที่จะรักผู้อื่นได้อย่างดี
4. การพูดหรือแสดงวาจาไพเราะ อ่อนหวานและสุภาพ พ่อแม่ควรใช้ถ้อยคำภาษาที่แสดงถึงความรัก การให้กำลังใจ และคำที่มีความหมายดีๆ ถ่ายทอดความรู้สึกรัก ห้วงใย ให้ลูกรู้ถึงความรักที่พ่อแม่ให้กับตน หากจะอบรมสั่งสอนก็จะแสดงวาจาในทางบวก ไม่ใช่ด่าทอ ตำหนิติเตียน เพราะคำพูดที่ดีจะประทับอยู่ในความคิดและจะย้ำเตือนสิ่งที่เด็กได้ยินมา และจะกรอกกลับมาเหมือนที่อัดใส่เทปไว้
5. รับฟังด้วยความสนใจ ทำให้เด็กรู้สึกดี พ่อแม่ควรรับฟังสิ่งที่ลูกพูดด้วยความอดทนให้ตลอดเรื่องจนจบ ไม่ควรแสดงความขัดแย้ง สั่งสอนหรือไม่ยอมรับ เพราะจะทำให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ไม่รับฟัง ไม่เห็นความสำคัญ และไม่เชื่อความคิด และเหตุผลของตน การที่พ่อแม่ฟังลูก พ่อแม่จะได้รับทราบความคิดของลูก ถ้าเป็นสิ่งที่ดีๆ จะได้ชื่นชมสนับสนุน หากยังไม่สมบูรณ์จะได้ชี้แนะทางที่เหมาะสม เป็นการช่วยพัฒนาและป้องกันปัญหาที่อาจมี ที่สำคัญการที่พ่อแม่รับฟังลูกพูดตั้งยังเด็กเรื่อยมา ก็จะช่วยให้ลูกอยากฟังพ่อแม่บ้าง ลูกๆ จะไม่ต่อต้านแต่จะรับฟัง คิดตาม และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตนให้ดีขึ้น
6. เปิดโอกาสให้ลูกแสดงความคิดเห็น พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกแสดงความคิดเห็น และยอมรับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ของลูก โดยคำนึงถึงความสำคัญในฐานะที่ลูกเป็นสมาชิกของบ้าน มิสิทธิ์จะออกความคิดเห็น พ่อแม่พึงให้โอกาสลูกได้คิดแสดงเหตุผล และยอมรับตามลูกบ้าง แม้ว่าจะไม่เป็นความคิดที่เลิศหรูหรือสมบูรณ์ แต่การยอมรับความคิดเห็นก็จะทำให้ลูกได้ฝึกทักษาการคิด การให้เหตุผล และมีกำลังใจในการพัฒนาความคิดได้ดีขึ้น และสิ่งที่สำคัญทำให้ลูกรู้ว่าตนมีความสำคัญ ได้รับการยอมรับ และนับถือจากพ่อแม่
7. การมีอารมณ์ดี อารมณ์ขัน พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกมีอารมณ์ดี อารมณ์ขัน มีเสียงหัวเราะ หน้าตาที่สดชื่น แจ่มใส ร่าเริง การหาบทสนทนา และเรื่องขำขันมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน หรือการทายปัญหาที่เรียกความตลกขบขัน จะเป็นการช่วยผ่อนคลาย และสร้างความสุขเสียงหัวเราะให้เกิดขึ้นได้ นับว่าวิเศษ และเสริมสร้างความมีสุขภาพจิตที่ดีได้
Expectant Mothers Ask
Q : การรับประทานอาหารในหญิงตั้งครรภ์ ในหนึ่งวันควรมีกี่มื้อคะ เพราะสังเกตได้ว่าเวลาที่ตั้งครรภ์มักจะหิวบ่อย
A : ที่จริงแล้วหลักการในการรับประทานอาหารของสตรี ตั้งครรภ์ นั้น ควรรับประทานให้ได้สารอาหารในระดับที่พอเพียงต่อเนื่องจะดีกว่าการรับประทานอาหารมื้อละมากๆ วันละน้อยครั้ง เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือควรรับประทานอาหารมื้อละน้อยๆ เคี้ยวให้ละเอียดเพื่อช่วยการย่อยอาหาร เพราะสตรีตั้งครรภ์มักจะย่อยอาหารยาก เมื่อรู้สึกอิ่มให้หยุดรับประทาน เมื่อหิวใหม่ก็รับประทานใหม่แบบนี้จะดีที่สุด
Q : คุณหมอคะ ทำไมหนึ่งสัปดาห์ก่อนการมีประจำเดือนในผู้หญิง บางครั้งก็จะมีอาการท้องผูกบ้าง เจ็บหน้าอก หรือไม่ก็หิวบ่อยมาก ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร
A : อาการก่อนมีประจำเดือนของผู้หญิงที่เรียกกันสั้นๆ ว่า PMS นั้นเกิดจากช่วงเวลาดังกล่าวมีความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงตามธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการต่างๆ นานา ตั้งแต่ปวดท้อง ปวดศีรษะ อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ปวดมดลูก หงุดหงิด นอนไม่หลับ อาการเหล่านี้จะดีขึ้นถ้ามีการออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ และไม่จำเป็นจะต้องได้รับการรักษานอกจากมีอาการมากจนไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตได้ตามปกติ