ภาษาไทย
English

ความฉลาดของลูกนั้นได้แต่ใดมา

 

 

 
      พ่อแม่ทุกๆ คนต่างก็อยากให้ลูกตัวเองมีความฉลาด เก่ง สติปัญญาดีกันทั้งนั้น เห็นได้จากการที่มีแหล่งเรียมพิเศษของเด็กๆ มากมาย ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลกันเลยทีเดียว แต่ความฉลาดของลูกนั้น ต้องมาจากปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ตั้งแต่วิธีการเสริมสร้างความฉลาด รวมไปถึงการส่งเสริมในช่วงระยะเวลาที่เด็กเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม เรามาดูกันค่ะ ว่ามีวิธีใดและช่วงเวลาใดบ้างที่จะสามารถเสริมสร้างความฉลาดของลูกน้อยได้อย่างเต็มที่

     "พ่อแม่มักเน้นเรื่องจะทำอย่างไรลูกถึงจะเก่ง สติปัญญาดี เหนือกว่าเรื่องอื่นๆ แต่หมออยากให้พ่อแม่ทุกคนทำความเข้าใจใหม่ว่า คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่สอบได้ที่หนึ่งเสมอไป"

     นี่คือมุมมองของ นายแพทย์ศิริไชย หงษ์สงวนศรี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลนครธนที่ต้องการทำความเข้าใจกับพ่อแม่ในเรื่องการเลี้ยงดูลูกอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันปัญหาเด็กเครียดและขาดอิสระทางความคิดที่ดูเหมือนจะทวีคูณมากขึ้นทุกวัน

     นับเป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่ทุกคนต่างภาวนาว่า ขอให้ลูกเกิดมามีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่าหลายคนก็คงอยากให้ลูกมีความเฉลียวฉลาดและเป็นเด็กที่เก่งกว่าคนอื่นๆ 

     แต่ทว่าความเก่งที่พ่อแม่สรรหามาใส่ให้ลูก และความเฉลียวฉลาดที่ลูก 'น่าจะ' เป็นดังที่พ่อแม่หวังนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไปหรือป้อนข้อมูลให้พวกเขาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

     อย่างที่กล่าวไว้ว่า การที่พ่อแม่จะให้ลูกมีความเฉลียวฉลาด มีพัฒนาการที่ดีนั้น การดูแลและบำรุงที่ดีที่สุดควรเริ่มต้นตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์ ซึ่งนับเป็นก้าวแรกของกลยุทธสร้างลูกให้สมองดีเลยก็ว่าได้

     
     ทั้งนี้นายแพทย์ศิริไชย เผยว่า ประการแรกที่พ่อแม่ควรทำความเข้าใจนั่นคือ ความฉลาดของทุกคนขึ้นอยู่กับสติปัญญาและสมอง ซึ่งการที่คนเรามีสมอง ความคิดและความสามารถ ในการเรียนรู้ที่ต่างกันออกไปนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับพันธุกรรมด้วย

     "เด็กจะมีสมองดีมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับยีนกว่า 80% ด้วยนะครับ แต่ทุกคนก็ยังสามารถพัฒนาสมองได้ ซึ่งการพัฒนาสมองควรเริ่มต้นตั้งแต่แรกเกิดเลย"

     และเมื่อเราเข้าใจแล้วว่าสมองนั้นสามารถพัฒนาได้ เราก็ควรหาวิธีที่จะพัฒนาสมองของเด็กตั้งแต่ในครรภ์ทันที เพื่อให้สมองของเขาไม่ใช่เป็นเพียงก้อนไขมันธรรมดาๆ เท่านั้น

     "ในช่วงตั้งครรภ์ แม้ว่าความวิตกกังวลของคุณพ่อคุณแม่จะเป็นเรื่องปกติ แต่ทั้งสองก็ไม่ควรเครียดมากจนเกินไป เพราะสุขภาพจิตมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาสมอง ไอคิวและพฤติกรรม หากคุณพ่อคุณแม่เครียดมากจนเกินไป จะก่อให้เกิดสารที่เป็นพิษต่อเซลล์สมอง ที่จะทำให้ลูกกลายเป็นเด็กเลี้ยงยาก ขี้หงุดหงิดและก้าวร้าว"

     ส่วนเรื่องอาหารการกิน คุณแม่ควรรับประทานให้ครบ 5 หมู่ ผักผลไม้อย่าให้ขาด เน้นอาหารทะเลโดยเฉพาะปลา น้ำมันปลา เพราะสมองเป็นไขมัน ถ้ามีไขมันดีสมองก็จะดี ควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ และแอลกอฮอลล์ทุกชนิด

     "หากอยากให้ลูกสมองดีตั้งแต่อยู่ในท้อง คุณแม่ควรดูแลสุขภาพให้ดีก่อน เพราะจะทำให้ลูกสุขภาพดีตาม นอกจากนี้ก็ควรทำตามที่หมอแนะนำ อาหารเสริมราคาแพงนั้นไม่จำเป็นเลย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็เพียงพอแล้ว และเมื่อคลอดลูกแล้วก็ควรบำรุงต่อไป เพื่อให้มีน้ำนมให้ลูก ซึ่งจากการวิจัยพบว่าถ้าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ไอคิวของเด็กจะได้รับการกระตุ้นเพิ่มขึ้นอีก 10% ทีเดียว"

นาทีทองตอน 3 ขวบ

     "พ่อแม่มักคิดว่าเด็กเล็กไม่รู้เรื่องจึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะพูดคุยด้วย ซึ่งจริงๆ แล้ว การที่พ่อแม่ใกล้ชิดเขานั้นคือความต้องการพื้นฐานของเด็ก ถ้ามีเวลา พูดคุย ส่งเสียงกับลูกก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะฝึกให้เขามีพัฒนาการที่ดีขึ้น" คุณหมอกล่าว

     อย่างไรก็ดี การส่งเสียงที่นอกจากการพูดคุยแล้ว การเล่านิทานจะทำให้เด็กได้เรียนรู้ มีจินตนาการ กระตุ้นทางด้านภาษา และมีทัศนะคติที่ดีต่อการอ่านหนังสืออีกด้วย และเมื่อเด็กเริ่มมีพัฒนาการตามวัยดีขึ้นเรื่อยๆ พอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้ว พ่อแม่ก็ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองหยิบ จับ ช่วยเหลือตัวเองอย่างที่เขาต้องการบ้าง ไม่ใช่ทำอะไรให้ทุกอย่าง

    "ถ้าลูกมีอายุประมาณ 1-2 ขวบ นั่นหมายถึงว่าเขาสามารถเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้เยอะขึ้น โดยเฉพาะกิจวัตรประจำวัน การอาบน้ำ แต่งตัว ทาแป้ง หรือเริ่มทานอะไรได้เองบ้าง สิ่งเหล่านี้พ่อแม่ควรให้ลูกได้ทำเอง แต่ที่ผ่านมาเราพบว่า ผู้ใหญ่ยังเลือกที่จะทำให้ลูกไปเสียทุกอยาง เด็กเลยไม่มีโอกาสได้ทำ"

     อย่างไรก็ตาม ในช่วงสามปีแรก สมองพัฒนาที่สุด ดังนั้นนอกจากการฝึกลูกผ่านกิจวัตรประจำวันแล้ว เมื่อเขาโตขึ้นพอที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น พ่อแม่หลายคนอาจมองหาแหล่งเรียนรู้อื่นๆ เช่นการเรียนดนตรีหรือเล่นกีฬา ทีเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับเด็กอีกทางหนึ่ง

     "ดนตรีคือกิจกรรมที่เป็นจังหวะ ซึ่งมันทำให้สมองเป็นจังหวะ และมีสมาธิดีขึ้น ส่วนกิจกรรมต่างๆ ก็จะทำให้เด็กมีไอคิวดีขึ้นเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ เด็กไทยไอคิวไม่ก้าวหน้าและอาจลดลงด้วยซ้ำเพราะเด็กสมัยนี้เล่นแต่เกม"

     แต่ทว่าการที่พ่อแม่จะให้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมหรือดนตรีนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่พ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอนั้นคือ การกระตุ้นเด็กควรมาจากความสนุกของเด็ก ไม่ใช่ความตั้งใจของพ่อแม่ ดังนั้นอย่าไปบังคับให้เขาเล่นดนตรี เราต้องให้เขาชอบเสียก่อน

     ถ้าเราต้องการให้ฉลาดอย่างเดียวก็สอนเหมือนสอนหนังสือ แต่หากอยากให้ลูกมีความสุขด้วย เราควรสร้างสัมพันธ์ที่ดี อาศัยความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ บรรยากาศที่ดีด้วย เพราะจะทำให้อารมณ์และทักษะดีขึ้น อันจะทำให้เด็กรู้จักการควบคุมอารมณ์และเข้าสังคมเก่ง จะทำให้เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

     ที่สุดแล้ว สิ่งที่หมออยากฝากให้พ่อแม่ทุกคนคือ การที่เรามีลูกสติปัญญาดีก็เป็นบุญของพ่อแม่ แต่คนไม่สามารถเก่งได้ทุกคน หมอไม่เห็นด้วยที่ไปเร่งให้ลูกเก่งกว่าคนอื่น เพราะมันจะเสียบรรยากาศความสัมพันธ์ เพราะสุขภาพจิตจะไม่ดี 

     "ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือ ทำให้ลูกมีความสุขที่สุด เรารู้ว่าอะไรที่ช่วยให้ลูกสมองดี เราก็ส่งเสริม ไม่ยัดเยียด อะไรที่เราควรหลีกเลี่ยงก็ควรอยู่ห่างๆ เอาไว้ แต่ในที่สุดแล้วอย่าลืมว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร เขาก็คือลูกของเรา สิ่งที่ทำให้ลูกโตมามีสุขภาพที่ดี มีความสุขคือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข" คุณหมอกล่าวทิ้งท้าย
 
ขอขอบคุณภาพประกอบและบทความ : momchannel

Week 1-3 : สัปดาห์ที่ 1-3 ของการตั้งครรภ์
เซลล์ไข่เริ่มกลายเป็นตัวอ่อนและเจ...
2013-04-05

10 คำชมที่ลูกควรได้ยิน
10 คำชมที่ลูกควรได้ยิน (จากปากเรา)...
2013-06-10

การอาบน้ำเด็กทารกอย่างถูกวิธี
วันนี้เราเลยมีวิธีที่จะทำให้เด็กส...
2013-05-21

พัฒนาการของลูกน้อยช่วงวัย 4-6ปี และของเล่นที่เหมาะสม
พัฒนาการของลูกน้อยช่วงวัย 4-6ปี และข...
2013-07-02

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจขณะตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ...
2013-04-25

Week 5 : สัปดาห์ที่ 5 ของการตั้งครรภ์
สัปดาห์นี้ ควรฝากครรภ์ได้แล้วนะ...
2013-03-29

9 วิธีเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์
คุณแม่ที่กำลังอยากจะมาบุตรต้องทำอ...
2013-06-28

การเลือกเพลงสำหรับเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่ควรมองข้าม
การเลือกเพลงสำหรับเด็กๆ ไม่ใช่เรื่...
2013-04-05

น้ำอสุจิ..ของเหลวสีขาวขุ่นชวนพิศวง
น้ำอสุจิ..ของเหลวสีขาวขุ่นชวนพิศวง...
2013-04-29

Week 13 : สัปดาห์ที่ 13 ของการตั้งครรภ์
เต้านมของคุณแม่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น, ...
2013-03-29