ทางเลือกในการคลอด
ช่วงใกล้คลอดคุณแม่อาจกังวลว่าจะคลอดแบบไหนดี จะคลอดเองแบบธรรมชาติหรือผ่าคลอดทางหน้าท้อง ทางที่ดีคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ถึงทางเลือกในการคลอดและวิธีการดูแลขณะคลอด เพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสม และช่วยให้คุณแม่คลายความกังวล สามารถเตรียมตัวเพื่อการคลอดได้อย่างมั่นใจ
โดยทั่วไปแล้ว ทางเลือกในการคลอดมีดังนี้
ในช่วงเวลาการคลอด ทีมแพทย์ซึ่งประกอบด้วย สูติแพทย์ วิสัญญีแพทย์ รวมถึงพยาบาลวิชาชีพ จะให้การดูแลคุณแม่และลูกน้อยอย่างใกล้ชิด และทันทีที่ลูกน้อยถือกำเนิด แผนกบริบาลทารกแรกเกิด (nursery) จะเข้ามาดูแลสุขภาพลูกน้อยของคุณแม่อย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย แผนกบำบัดพิเศษทารกแรกเกิด (NICU) โดยทีมแพทย์และพยาบาลวิชาชีพที่ได้รับการอบรมเฉพาะทางจะเข้ามาดูแล พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง เจ็บท้องคลอดและวิธีลดอาการเจ็บ ในช่วงใกล้คลอด มดลูกจะขยายตัวและเคลื่อนต่ำลง เมื่อคลำดูบริเวณหน้าท้องจะรู้สึกว่ามีก้อนแข็งๆ อาการแบบนี้เรียกว่า “ท้องแข็ง” หรือ “เจ็บท้องเตือน” ซึ่งการแข็งตัวของมดลูกนี้จะมีความถี่ที่ไม่สม่ำเสมอ อาจจะนานประมาณ 20-25 วินาที ในแต่ละครั้ง ซึ่งอาการท้องแข็งจะเกิดขึ้นได้ในช่วง 2-3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด อาการเจ็บท้องเตือนเป็นกระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนคลอดของร่างกายคุณแม่ ซึ่งจะช่วยให้ปากมดลูกมีความอ่อนนุ่ม เพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดไปยังรก ช่วยให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณแม่มีอาการเจ็บท้องเตือนเป็นระยะๆ และมีอาการท้องแข็งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เจ็บแบบสม่ำเสมอและเจ็บนานขึ้นเรื่อยๆ ควรไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาจจะเป็นการเจ็บท้องจริงแล้วก็ได้ วิธีลดอาการเจ็บท้องคลอด อาการเจ็บท้องคลอดเป็นอาการที่ว่าที่คุณแม่ทุกคนต้องเผชิญในช่วงใกล้คลอด แต่ไม่ต้องกังวล เพราะในปัจจุบันมีวิธีการที่จะช่วยลดอาการเจ็บได้ ดังนี้
อย่างไรก็ดี แพทย์จะเป็นผู้เลือกวิธีระงับความเจ็บปวดเพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อย
ฝึกหายใจระหว่างคลอด การฝึกบังคับลมหายใจอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกผ่อนคลาย และเมื่อถึงเวลาคลอดจะช่วยให้คุณแม่คลอดได้ง่าย สามารถฝึกได้โดย
รูปแบบการหายใจ รูปแบบที่ 1 หายใจแบบลึกๆ และช้าๆ ใช้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกของการเจ็บครรภ์ ซึ่งการบีบรัดตัวของมดลูกยังไม่รุนแรงมาก วิธีปฏิบัติ เมื่อมดลูกเริ่มหดตัวให้หายใจเต็มที่ (ล้างปอด) 1 ครั้ง แล้วต่อด้วยการหายใจแบบลึกและช้า โดยหายใจเข้าทางจมูกช้าๆ นับจังหวะ 1-2-3-4 แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ โดยห่อริมฝีปาก นับจังหวะ 1-2-3-4 ให้เป็นจังหวะตลอดระยะเวลาที่มดลูกบีบรัดตัวประมาณ 1 นาที เมื่อมดลูกคลายตัวให้หายใจเต็มที่ (ล้างปอด) 1 ครั้ง แล้วหายใจตามปกติในระยะพัก รูปแบบที่ 2 หายใจแบบเร็ว ตื้น และเบา ใช้ได้เมื่อเจ็บครรภ์รุนแรงมากขึ้น ปากมดลูกเปิดมาก มดลูกจะบีบตัวแรงจนคุณแม่แทบจะทนไม่ได้ วิธีปฏิบัติ เมื่อมดลูกบีบรัดตัวให้หายใจเต็มที่ (ล้างปอด) 1 ครั้ง ต่อด้วยการหายใจเข้าทางจมูก-ปาก แบบตื้น-เร็ว-เบา 4-6 ครั้ง แล้วเป่าลมออกทางปาก 1 ครั้ง ทำไปเรื่อยๆ จนกว่ามดลูกจะคลายตัว หลังจากนั้นหายใจเต็มที่ (ล้างปอด) 1 ครั้ง แล้วหายใจตามปกติในระยะพัก รูปแบบที่ 3 หายใจเพื่อเบ่งคลอด ใช้เมื่อปากมดลูกเปิดหมด และมีความรู้สึกอยากเบ่งคลอด วิธีปฏิบัติ เมื่อมดลูกบีบรัดตัวให้หายใจเต็มที่ (ล้างปอด) 1-2 ครั้งต่อด้วยการหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ แล้วกลั้นหายใจพร้อมทั้งเบ่งลงไปทางช่องคลอดนาน 6-8 วินาที จึงหายใจออกทางปาก 1 ครั้ง ทำไปเรื่อยๆ จนกว่ามดลูกจะคลายตัว หลังจากนั้นหายใจเต็มที่ (ล้างปอด) 1 ครั้ง แล้วหายใจตามปกติในระยะพัก เรียนรู้ระยะการคลอด หลังจากที่มดลูกหดรัดตัวเป็นจังหวะ ถี่และรุนแรง ปากมดลูกขยายตัว ถุงน้ำคร่ำถูกบีบรัดจนแตก เหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่า คุณแม่กำลังจะก้าวสู่ระยะคลอด ซึ่งแบ่งออกเป็น 3ระยะ คือ ระยะที่ 1 ระยะที่มดลูกหดรัดตัวอย่างสม่ำเสมอ ปากมดลูกที่ปิดสนิทจะค่อยๆ เปิดขยายออกจนกว้างเต็มที่ประมาณ 10 ซม. ซึ่งกว้างพอที่ศีรษะของทารกจะเคลื่อนผ่านตัวออกมา สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เป็นครั้งแรกจะใช้เวลาประมาณ 12 ชั่วโมง ส่วนคุณแม่ที่เคยตั้งครรภ์แล้วจะใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง การเจ็บครรภ์ในระยะที่ 1 นี้ยังแบ่งออกเป็นระยะย่อยอีก 3 ระยะ โดยระยะแรกจะใช้เวลาประมาณ 5-8 ชั่วโมง ในระยะนี้อาการเจ็บยังไม่รุนแรงนัก ระยะถัดมาคุณแม่จะเจ็บถี่และรุนแรงขึ้น ใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง และระยะเบ่งคุณแม่จะรู้สึกเจ็บครรภ์รุนแรงมากที่สุด ซึ่งจะกินเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ระยะที่ 2 ระยะคลอดลูก ในระยะนี้มดลูกจะหดตัวนานขึ้นและเกิดลมเบ่ง ซึ่งคุณแม่ต้องหายใจเข้ายาวและลึก จากนั้นให้คุณแม่กลั้นหายใจ ก้มหน้าคางชิดอก แล้วเบ่งลงก้นยาวๆ อย่างต่อเนื่อง ให้แรงเบ่งทั้งหมดพุ่งลงสู่ช่องคลอด กล้ามเนื้อช่องคลอดจะค่อยขยายออกตามแรงเบ่ง จากนั้นจะดันศีรษะของทารกให้เคลื่อนต่ำลงจนคลอดออกมาได้ ระยะที่ 3 ระยะคลอดรก หลังจากที่ลูกน้อยคลอดออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว คุณแม่จะรู้สึกเจ็บน้อยลง การคลอดรกในระยะที่สามนี้จะใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที โดยคุณแม่จะรู้สึกอยากเบ่งอีกครั้ง เมื่อมดลูกหดรัดตัวรกจะถูกบีบออกมาจากช่องคลอด และคุณหมอจะช่วยทำคลอดรก หลังจากนั้นจะนำรกไปตรวจอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรกตกค้างอยู่ในช่องคลอด หลังคลอดแล้วคุณแม่จะมีน้ำคาวปลาสีแดงๆ ไหลออกมาจากช่องคลอดประมาณ 2-3 วัน หลังจากนั้นจะค่อยๆ จางลงจนกลายเป็นสีชมพูอ่อนภายใน 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ในช่วงหลังคลอด มดลูกอาจไม่สามารถหดรัดตัวได้ในทันที (เพราะมีการขยายตัวมาเป็นเวลานานถึง 9 เดือน) แพทย์จะฉีดยาเพื่อช่วยให้มดลูกหดรัดตัวได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้บีบขับรกให้ออกมาได้สะดวก เพราะหากมดลูกไม่สามารถหดรัดตัวได้ตามปกติ เช่น กล้ามเนื้อมดลูกหย่อนยาน เนื่องจากผ่านการคลอดหลายครั้ง มีรกตกค้างอยู่ในมดลูก หรือมีเนื้องอกของมดลูก อาจนำไปสู่ภาวะเสี่ยงเกิดการตกเลือดหลังคลอดได้ ขอขอบคุณภาพประกอบและบทความ : bumrungrad |