ว่าด้วยเรื่องน้ำมันตับปลา
ดร.วันดี วราวิทย์
การเสริมน้ำมันปลาจะได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับทารกที่ไม่ได้กินนมแม่ คือ ช่วงหลังเกิดจนถึง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงอายุที่เซลล์จอประสาทตา เส้นใยประสาท และเซลล์สมองกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ในการศึกษาทารกที่กินนมแม่สามารถมองเห็นภาพสีขาวดำได้เร็ว ซึ่งการเห็นได้เร็วจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทำให้เรียนรู้เร็วขึ้น อีกทั้งนมแม่มี DHA ที่นมวัวไม่มีอีกด้วย
ดังนั้นทารกกินนมวัวผสมสำหรับทารกอาจเห็นไม่ชัดเท่าทารกกินนมแม่ แต่จะเห็นได้เท่ากับทารกกินนมแม่เมื่ออายุ 6 เดือน เมื่อได้ติดตามระดับสติปัญญาต่อไปจนอายุ 8 ปี พบว่าเด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่มีสติปัญญาสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ถึง 7 จุด จึงได้มีการพัฒนานมผสมสำหรับเลี้ยงทารกให้คล้ายนมแม่ โดยน้ำมันปลาเป็นสารอย่างหนึ่งที่ได้มีการเสริมในปริมาณเท่ากับที่มีในน้ำนมแม่นั่นเอง
น้ำมันปลาที่มีอยู่ในท้องตลาดสูตรดั้งเดิม คือ น้ำมันตับปลา ซึ่งนอกจากน้ำมันปลาแล้วยังมีวิตามินอื่นๆ อยู่ด้วย สามารถกินได้วันละ 1 ช้อน และยังมีในรูปแคปซูลเจลลาตินใสซึ่งมีขนาดสำหรับทารก ลักษณะเม็ดกลมรีเล็กขนาด 500 มิลลิกรัม มี DHA ขนาด 100-125 มิลลิกรัม และ EPA 30-35 มิลลิกรัม ตัดแคปซูลบีบน้ำมันปลาใส่ช้อนให้ลูกกินได้วันละ 1 แคปซูล ส่วนขนาดเม็ดยาวรีเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตสำหรับผู้ใหญ่ กินเพื่อป้องกันการเสื่อมของเนื้อเยื่อ และป้องกันการแข็งตัวของลิ่มเลือดในผู้ที่มีโรคหลอดเลือดตีบแคบ เนื่องจากมีไขมันจับผนังหลอดเลือด ขนาด 1 กรัม มี DHA 125 มิลลิกรัม และ EPA 175 มิลลิกรัม โดยกินวันละ 1 เม็ด
น้ำมันปลามีประโยชน์ในคนทุกอายุ แต่ก็อย่าลืมไข่แดงและน้ำมันพืชที่มีน้ำมันโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ก็สามารถเปลี่ยนมาเป็น DHA และ EPA ได้ ยกเว้นในกลุ่มที่มีพันธุกรรมซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนให้โอเมก้า 3, 6 ให้เป็น DHA ได้ ซึ่งคนที่มีพันธุกรรมดังกล่าวมีน้อย แต่ถ้าหาซื้อน้ำมันปลาสูตรเด็กไม่ได้ เมื่อลูกโตพอจะกินปลาได้โดยไม่มีอาการแพ้แล้ว ก็สามารถให้ลูกกินปลาน้ำจืดแทน เช่น เนื้อปลาช่อน ประมาณ 2 ช้อนกินข้าวสัปดาห์ละ 2-3 วัน และทราบไหมค่ะว่าในประเทศตะวันตก ก็มีประเพณีวันศุกร์ที่ไม่กินเนื้อสัตว์อื่นใดเลยนอกจากเนื้อปลา ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ฉลาดทีเดียวค่ะ