เบบี๋ "ฝัน" เป็นเหมือนกันนะ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยสงสัยว่าเวลาที่เจ้าตัวน้อยหลับปุ๋ยอยู่นั้น เขากำลังผจญภัยในโลกแห่งความฝันเหมือนกับผู้ใหญ่อย่างเราๆ บ้างหรือเปล่า และจากการวิจัยพบว่า เบบี๋ฝันค่ะ เบบี๋ยังฝันค่อนข้างบ่อยมากอีกด้วยเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ ขณะที่ผู้ใหญ่เราฝันประมาณ 30% ของเวลาหลับ เบบี๋จะฝันประมาณ 50-80% เลยทีเดียว และเป็นฝันขณะที่กำลังหลับขั้น REM (Rapid Eye Movement) ซึ่งเป็นช่วงร่างกายหลับ ยกเว้นระบบเพื่อการยังชีพ แต่สมองยังทำงานอยู่ ยิ่งในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังคลอดจะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวน้อยฝันมากที่สุด หลังจากนั้นจะฝันน้อยลง พออายุ 1 ขวบ จะฝันเหลือเพียงครึ่งหนึ่งจากเมื่อ 6 เดือนก่อน และหลัง 3 ขวบ เด็กน้อยจะฝันเท่าๆ กับผู้ใหญ่แล้วล่ะค่ะ เบบี๋ฝันอะไรนะ จริงๆ แล้วไม่มีใครบอกได้หรอกว่าเบบี๋ฝันอะไรอยู่ ผู้เชี่ยวชาญบอกได้แต่ว่าในฝันของเด็กน้อยจะมีแต่ภาพไม่มีคำพูด จึงเป็นไปได้มากที่เบบี๋จะฝันเห็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหลับ ซึ่งตลอดทั้งวันเด็กน้อยได้รับประสบการณ์ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ มากมาย ดังนั้นเบบี๋อาจฝันถึงตอนป้อนนม อาบน้ำ ไปจนถึงตอนพบผู้คนแปลกหน้าที่มาเยี่ยมเยียนก็ได้ เบบี๋ฝันร้ายหรือเปล่า ตามพัฒนาการแล้วเด็กๆ จะเริ่มเกิดความรู้สึกกลัวจริงๆ เมื่ออายุ 2-3 ขวบ ดังนั้นในช่วงนี้จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ลูกน้อยจะฝันร้าย แต่บางครั้งที่เบบี๋ ร้องไห้หรือสะอึกสะอื้นขณะหลับหรือช่วงสะลึมสะลือ นั่นเป็นเพราะเขาเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงและไม่สบายใจบ้างในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าบางครั้งคุณเห็นเปลือกตาของลูกเคลื่อนไหวไปมา พร้อมกับแขนขากระตุก ก็ไม่ต้องกังวลไปอาการเหล่านั้น เกิดเพราะเขามีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังฝันอยู่ ไม่นานเขาก็จะกลับมาหลับสบายตามปกติค่ะ คุณอาจช่วยให้ลูกสงบเร็วขึ้นได้ด้วยการลูบที่หน้าอกของเขาอย่างเบามือก็ได้ รู้หรือไม่ ! หลับฝันมีข้อดีนะ นอกจากการนอนหลับจะเป็นการพักผ่อนทางร่างกายแล้ว การหลับฝันยังเป็นช่วงเวลาที่สมองบางส่วนของเบบี๋กำลังทำงานและเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ด้วย เพราะขณะกำลังฝันเซลล์สมองซึ่งมีอยู่มากมายจะมีการเชื่อมต่อกันตลอดเวลา การเชื่อมต่อของเซลล์สมองนี้มีส่วนสำคัญมากต่อพัฒนาการด้านทักษะการคิดในอนาคต ดังนั้นในห้องนอนของเบบี๋ควรจะมีการสร้างบรรยากาศที่สงบ สบายเพราะจะส่งผลให้เจ้าตัวน้อยหลับฝันและเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องเลยล่ะค่ะ // ที่มาจาก Do Babies Dream? parenting.com และหนังสือ “รู้เพื่อลูก” สนพ. มูลนิธิเด็ก ขอขอบคุณภาพประกอบและบทความ : real-parenting |