การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจขณะตั้งครรภ์
เมื่อมีการตั้งครรภ์สตรีอาจมีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากปกติและรู้สึกถึงความไม่สบายที่ดังต่อไปนี้
จะมีอาการเจ็บคัดเต้านมมากกว่าการเจ็บคัดเมื่อใกล้จะมีประจำเดือนแต่ละ เดือน มักเริ่มต้นเจ็บบริเวณใกล้หัวนม ต่อมาสังเกตว่าเต้านมทั้งเต้าเต่งและคัดมากขึ้น และขยายใหญ่ขึ้นนับแต่เดือนที่สองเป็นต้นไป อาการเจ็บจะทุเลาเมื่อเข้าเดือนที่สาม สีของหัวนมจะคล้ำกว่าเดิม ลานข้างหัวนมจะมีสีคล้ำและขนาดใหญ่ขึ้น เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นบางคนจะเห็นมีเส้นเลือดใกล้ผิวหนังของเต้นนมเด่นชัด ขึ้น อาการนี้เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ ทำให้มีเลือดออกมาเลี้ยงมากขึ้น และต่อมน้ำนมขยายตัวมากขึ้น เพื่อเตรียมสร้างน้ำนมต้อนรับลูกที่จะเกิดขึ้นมา อาจต้องมีการใส่ยกทรงที่เหมาะสมเพื่อพยุงเต้านมที่โตขึ้นและน้ำหนักมากขึ้น โดยทั่ว ๆ ไป จะต้องเปลี่ยนยกทรงถึง 2 ครั้ง ในช่วงไตรมาศแรก และไตรมาศที่ 2
2. อาการปัสสาวะบ่อย จะรู้สึกได้ชัดเจนขึ้น หลังจากขาดประจำเดือนแล้ว 1-2 สัปดาห์ ไปจนถึง 12 สัปดาห์ เป็นเพราะมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นไปเบียดกระเพาะปัสสาวะให้มีปริมาตรรับปัสสาวะ ได้น้อยลง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนโลหิตที่มากขึ้นบริเวณอุ้งเชิงกรานทำให้ รู้สึกปวดปัสสาวะง่ายขึ้นกว่าปกติ จนทำให้ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยกว่าปกติ จนอาจรู้สึกรบกวนการนอน อาการนี้จะรบกวนผู้ตั้งครรภ์ไปจนถึง 3 เดือน หลังจากนั้นจะเคยชินและมดลูกโตพ้นอุ้งเชิงกราน ภาวะการกดทับกระเพาะปัสสาวะลดลง อาการปัสสาวะบ่อยก็ลดลงด้วย จนถึงประมาณเดือนที่ 7-8 ของการตั้งครรภ์จะเริ่มรู้สึกปัสสาวะบ่อยขึ้นอีก เพราะขนาดของทารกที่โตขึ้น และส่วนหัวของทารกเริ่มเข้าสู่อุ้งเชิงกราน มีการเบียดกระเพาะปัสสาวะใหม่อีกครั้ง
3. อาการอ่อนเพลีย สตรีตั้งครรภ์จะรู้สึกว่าอ่อนเพลียมากเห็นได้ชัดเจน ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ซึ่งเกิดจากความเครียดของร่างกายในการปรับตัวจากการตั้งครรภ์ ต่อไปจะรู้สึกค่อย ๆ ดีขึ้น ดังนั้น สตรีตั้งครรภ์จึงควรมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น มีเวลางีบหลับหรือพักผ่อนเป็นระยะ ๆ ในตอนกลางวันบ้าง
4. อาการแพ้ท้อง เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ 3 เดือนแรกจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนง่าย ประกอบกับมีอาการหิวบ่อยกว่าปกติ เวลาหิวอาจมีอาการต้องการอาหารรุนแรงกว่าธรรมดาทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ใจสั่น มือสั่น และ อาการกระวนกระวาย หงุดหงิดง่าย จะสังเกตว่ามีความต้องการรับประทานอาหารบ่อยทุก 2-3 ช.ม. ถ้าไม่รับประทานอาหารเมื่อเริ่มหิว ปล่อยไว้นาน ๆ จะมีอาการเวียนศีรษะและอาเจียนง่ายเมื่อรับประทาน อาการแพ้ท้องปกติ จะเป็นใน 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ อาการจะมากหรือน้อยเป็นคน ๆ ไป ไม่ทราบสาเหตุแน่นอน แต่การพักผ่อนและการไม่ปล่อยให้ท้องว่างอาจช่วยได้ ถ้าเป็นมากอาจต้องใช้ยาช่วย
5. อาการตกขาว คือ การมีสารคัดหลั่งออกมาทางช่องคลอดมากกว่าธรรมดา อาการนี้เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณ อุ้งเชิงกรานและช่องคลอดมากขึ้น มีการเจริญและหลุดลอกของเซลล์ผิวในช่องคลอดมากขึ้น จึงมาตกขาวมาก ซึ่งถือว่าปกติ แต่ถ้าตกขาวนั้นมีสีเปลี่ยนไป เช่น เหลืองคล้ายหนอง สีออกเขียว หรือมีกลิ่นผิดปกติ หรือมีอาการคันแสบช่องคลอดร่วมด้วย แสดงว่ามีการอักเสบ ต้องปรึกษาแพทย์ สตรีตั้งครรภ์มีภาวะโอกาสให้ เชื้อราเจริญง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อเป็นจะทำให้ตกขาวมากลักษณะเป็นน้ำหรือจับกันเป็นก้อนและมีอาการ คัน จึงควรสังเกตดูและรีบรักษา เชื้อรานี้ไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์แต่ทำให้รำคาญและโรคแทรกผสมโรง
6. สีผิวเปลี่ยน ปกติจะมีสีผิวคล้ำขึ้น จะมีรอยดำคล้ำในบางแห่งโดยเฉพาะที่หัวนม ลานหัวนม และเส้นกลางท้อง รักแร้ คอ ใบหน้า ขาหนีบ บางคนมีผิวแห้ง บางคนหน้ามันขึ้น อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ จางลงหลังคลอด บางคนมี อาการผิวแตกเป็นลายที่หน้าท้อง อาจมีอาการคันห้าท้อง เกิดจากหน้าท้องขยายเร็วจากการขยายตัวของมดลูกและความหนาของหน้าท้อง เพราะอ้วน อาการเหล่านั้นจะเป็นมากเฉพาะรายไป การป้องกันคือ ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนังสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นมากเกินไป ยาทาแก้คัน
7. อาการท้องผูก จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์จะทำให้ทางเดินอาหารทำ งานเคลื่อนไหวน้าอยลงกว่าธรรมดา ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ อาจทำให้มีท้องอืด อึดอัดด้วย บางคนมีการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารเข้าไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนที่หน้าอก อาการท้องผูกจะเป็นมากในคนที่ไม่ ชอบรับประทานผัก-ผลไม้ ถ้ามีการถ่ายอุจจาระวันเว้นวันและไม่รู้สึกอึดอัดมาก ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าท้องผูกมากกว่านั้น วิธีการแก้ไขเบื้อต้น คือ รับประทานยาระบาย และระยะยาว คือ รับประทานผักผลไม้ทำให้มีกากอาหาร อุจจาระจะได้ไม่แข็ง ยาระบายควรเลือกชนิดที่ไม่ดูดซึมเข้าร่างกาย จะได้มั่นใจว่าไม่ไปรบกวนทารกในครรภ์ การท้องผูกมาก ๆ ทำให้เป็นริดสีดวงทวาร และอาการแทรกซ้อนของริดสีดวงได้
8. การมีเลือดออกตามไรฟัน บางคนที่ตั้งครรภ์จะมีการงอกของเหงือกมากกว่าปกติ เมื่อเคี่ยวอาหารบางครั้งไปโดนกระทบกระเทือนทำให้มีเลือดออกได้ แต่ในคนที่สุขภาพเหงือกและฟันไม่ดี เช่น มีการอักเสบเหงือกอยู่ก่อนแล้วจากมีหินปูนเกาะก็ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น ด้วย ดังนั้นเมื่อมีอาการควรให้ทันต์แพทย์ตรวจดู ถ้าไม่มีการอักเสบอะไร จะได้สบายใจ ถ้ามีหินปูนเกาะ หรือเหงือกอักเสบก็รักษาได้ขณะตั้งครรภ์
9. อาการปวดหลัง เมื่อตั้งครรภ์หลายเดือนมากขึ้น จะมีอาการปวดหลังได้ เนื่องจากน้ำหนักของทารกและมดลูกถ่วงที่ด้านหน้า ทำให้สมดุลของร่างกายเปลี่ยน หลังต้องรับน้ำหนักแอ่นกว่าธรรมดา ทำให้เกิดอาการปวดร้าวและปวดเกร็งขึ้นได้ นอกจากนี้ระหว่างการตั้ง ครรภ์ ข้อต่อของกระดูกสันหลังและกระดูกเชิงกราน มีน้ำเข้าไปแทรกมากขึ้นจากอิทธิพลของฮอร์โมน ก็ทำให้มีการยึดติดกันน้อยกว่าปกติ การเคลื่อนไหวเร็วหรือรุนแรงจะทำให้เกิดอาการปวดได้ง่าย จึงควรระวังเข้าไว้ การป้องกัน คือ การออกกำลังบริหารร่างกายสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ การนั่งและยืน ควรอยู่ในท่าที่ถูกสุขลักษณะ คือ หลังตรง ไหลตรง ไม่นั่งหลังงอ หรือห่อไหล หลังคลอดแล้ว อาการจะดีขึ้น
10. อาการบวมที่มือ/เท้าและเส้นเลือดขอด อิทธิพลของฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ทำให้มีการอมน้ำในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น ที่ปลายมือ หน้าแข้ง และเท้า มักเป็นส่วนที่ห้อยลงต่ำทำให้น้ำไหลลงมากองบริเวณนั้น ทำให้รู้สึกบวมกว่าอวัยวะอื่น ๆ ยิ่งอายุครรภ์แก่มากขึ้นเท่าไร อาการบวมจะมากขึ้น นอกจากนั้นผนังเส้นเลือดดำซึ่งจะบีบไล่เลือดที่ ทำงานแล้ว กลับไปเข้าหัวใจก็จะขยายกว่าธรรมดาด้วย ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ ถ้าไม่มากหรือไม่มีอาการเจ็บปวดก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อการแก้ไข การป้องกัน คือ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การสังเกตว่าบวมคือรู้สึกตึงที่อวัยวะนั้น เมื่อกดที่ผิวหนังแล้วปล่อยมีรอยบุ๋มค้างอยู่นาน ถ้ามือบวมมักจะรู้สึกตอนเช้าพอสาย ๆ อาการบวมจะทุเลา อย่าพยายามฝืนกำมือแรงๆ ขณะที่บวมจะทำให้ข้อนิ้วมืออักเสบได้ ต่างกับที่ขาจะเป็นมากตอนบ่ายและเย็นตื่นเช้าจะทุเลามักบวมในคนที่นั่งหรือ ยืนนานๆมากกว่าคนที่เดินเคลื่อนไหวบ่อยๆ อนึ่งอาการบวมก็เกิดจากโรค ครรภ์เป็นพิษด้วย ดังนั้น เมื่อฝากครรภ์แพทย์ก็จะคอยดูด้วยว่าบวมมากผิดปกติหรือเปล่า (ให้ดูเรื่องครรภ์เป็นพิษ)
11. เปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ จากความไม่สบายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจเป็นสาเหตุทำให้มีความเครียดขึ้นได้ และทำให้มีอาการอื่น ๆ ทางอารมณ์ออกมา เช่น ความวิตกกังวล ใจน้อย อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย นอกจากนั้นอาจมีความเครียด กังวลเรื่องการเจริญเติบโตของทารก การคลอดและการเลี้ยงดูลูกที่จะเกิดขึ้นมา การป้องกัน คือ การเตรียมตัว การศึกษาหาความรู้ตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์และตั้งครรภ์ใหม่ ๆ การปรึกษาหารือและความช่วยเหลือกันในครอบครัว รวมทั้งการได้รับการดูแลที่ดีจากแพทย์ขณะตั้งครรภ์
12. ตะคริว มักจะเริ่มเป็นเมื่ออายูครรภ์เลย 20 สัปดาห์ขึ้นไป เกิดจากความล้าของกล้ามเนื้อประการหนึ่งและจากการขาด แคลเซี่ยมอีกประหนึ่ง มักเกิดที่น่องและมือ การป้องกันคือการ บริหารร่างกายสม่ำเสมอ การรับประทานแคลเซี่ยมเสริมให้เพียงพอ แคลเซี่ยมมีมากในอาหารพวกนม ถั่ว ปลา เมื่อเป็นให้เกร็งข้อเท้าให้เท้ากระดกมาข้างหน้าเพื่อยืดกล้ามเนื้อน่องหรือ บีบนวดกล้ามเนื้อที่เกร็งเบาๆให้คลายตัว
คือมีอาการเจ็บที่ข้อมือเมื่อเกร็งออกแรงนิ้วโป้งเวลายกของหรือเวลาบิดข้อ มือ มักเป็นมากชัดเจนตอนเช้า เกิดจากการบวมของเส้นเอ็น บริเวนข้อมือทำให้เกิดการเสียดสีมากกว่าปกติยิ่ง ถ้าฝืนเคลื่อนไหวออกแรงมากหรือบีบนวดมากจะยิ่งมีอาการมากและเป็นเรื้อรังได้ เมื่อหลังคลอดอาการจะดีขึ้นเอง การปฏิบัติ คือถ้ามีอาการให้ออกแรงที่นิ้วโป้งหรือข้อมือข้างนั้นพอประมาณ ใช้ยาทาแก้ปวดลดบวมทานวดเบาๆ ได้ ขอขอบคุณภาพประกอบและบทความ : kapook |