ภาษาไทย
English

คลอดธรรมชาติ VS ผ่าคลอด

ข้อมูลเพื่อคุณแม่ประกอบการตัดสินใจ

 
 

      "ถ้าคุณแม่อยากคลอดธรรมชาติควรปรึกษากับคุณหมอที่ฝากครรภ์ตั้งแรก คุณหมอจะได้ตรวจเช็กร่างกายดูความกว้างของกระดูกเชิงกราน ขณะเดียวกันก็คุณแม่ก็ควรเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานและการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในร่างกาย เลือกออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายมีการยืดหยุ่นมากกว่าปกติ"

     องค์การอนามัยโลกบอกไว้ว่า 85% ของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์สามารถคลอดได้เอง แต่จริงๆ แล้วกลับพบว่า หลายประเทศรวมทั้งบ้านเราด้วย ตัวเลขคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติน้อยกว่าที่องค์การอนามัยโลกบอกไว้ แม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา 28-29% ของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ยังผ่าตัดคลอด

     จะเลือกคลอดแบบไหนดี เป็นเรื่องที่ว่าที่คุณแม่ทุกคนเป็นกังวล โดยเฉพาะเมื่อใกล้ถึงวันคลอดก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้น คุณแม่บางคนอยากคลอดเอง อยากรู้ว่ากว่าจะผ่านบทแรกของการเป็นแม่ยากสักแค่ไหน แต่บางคนก็ยังหวาดหวั่นกับการคลอดธรรมชาติ ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกทางไหน...ผ่าตัดคลอดหรือคลอดธรรมชาติ อยากให้ว่าที่คุณแม่มาพิจารณาข้อมูลต่อไปนี้อย่างละเอียดค่ะ



คลอดธรรมชาติ

ร่างกายคุณแม่

     สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ ความดันสูง เบาหวาน ฯลฯ และอุ้งเชิงกรานไม่แคบเกินไป คุณแม่ส่วนใหญ่ที่จะคลอดแบบธรรมชาติได้ลูกมักอยู่ในท่าปกติคือกลับหัวลง และที่สำคัญลูกและแม่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตขณะคลอด เพราะถ้ามีความเสี่ยงคุณหมอจะผ่าตัดคลอดให้ เพื่อความปลอดภัยค่ะ

เวลา

     กำหนดแน่นอนไม่ได้ ทั้งการเจ็บครรภ์และช่วงระยะเวลาการคลอด

กระบวนการ
     การคลอดธรรมชาติมี 3 ระยะ เริ่มตั้งแต่ระยะแรกจะมีสัญญาณเตือน เช่น เจ็บท้องเป็นพักๆ น้ำเดิน มีหยดเลือดจางๆ อาการเจ็บท้องจะค่อยๆ ถี่ขึ้น และปากมดลูกก็จะค่อยๆ เปิด จนเข้าสู่ระยะที่ 2 ปากมดลูกจะเปิดเต็มที่ประมาณ 10 ซม. ฝีเย็บคุณแม่จะเป่งพอง เพราะศีรษะลูกดันเพื่อจะโผล่ออกมาให้ได้ ตอนนี้เองคุณหมอจะตัดฝีเย็บ และบอกให้หยุดเบ่ง เพราะจะมีลมเบ่งเป็นแรงขับดันจากภายในขับเคลื่อนเจ้าตัวน้อยออกมาเอง และระยะสุดท้ายของการคลอดคือ คลอดรกซึ่งจะออกมาภายใน 15 นาทีหลังคลอดตัวลูก

หลังคลอด
     เมื่อคุณหมอดูแลความเรียบร้อย ทำคลอดรก และเย็บแผลฝีเย็บให้แล้ว จะให้คุณแม่นอนพักในห้องคลอดเพื่อดูอาการอีก 2 ชั่วโมง แล้วย้ายไปพักผ่อนที่ห้องพักฟื้น คุณแม่ที่รู้สึกหิวจะกินอาหารได้ตามปกติ และเวลาเช้า-เย็นพยาบาลจะเอาไฟมาอังแผลฝีเย็บเพื่อให้แห้งเร็วขึ้น ซึ่งคุณแม่อาจจะรู้สึกตึงที่แผลนิดหน่อย แต่สามารถขยับตัวลุกนั่งและให้นมกับลูกได้

พักฟื้น
     คุณแม่ที่คลอดธรรมชาติจะฟื้นตัวได้เร็วเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็กลับมาสดชื่น แม้วว่าจะเจ็บแผลบ้าง หลังคลอดแล้วคุณแม่อยู่พักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 3 วัน ก็สามารถกลับไปเลี้ยงลูกที่บ้านและทำงานเบาๆ ได้ตามปกติ แต่ช่วงแรกๆ ต้องดูแลแผลฝีเย็บเป็นพิเศษ ใช้ยาพ่นแผล เย็บและยาทาริดสีดวงทวารตามแพทย์สั่ง แช่น้ำอุ่นจัดในอ่างอาบน้ำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง และควรหาห่วงยางมารองนั่งเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักกดทับบริเวณแผลเย็บ

ค่าใช้จ่าย
     โรงพยาบาลของรัฐ : ประมาณ 9,000 บาท
     โรงพยาบาลเอกชน : ประมาณ 14,000 บาท

 


ผ่าตัดคลอด

ร่างกายคุณแม่
     การผ่าคลอดมาจากหลายสาเหตุด้วยกันคือ ลูกไม่กลับหัวแต่เอาก้นลง รกเกาะต่ำ ลูกตัวโตกว่าเชิงกรานของแม่ ลูกในท้องมีภาวะขาดออกซิเจน หรือมีอันตรายที่ควรให้รีบคลอดออกมาทันที แม่อาจมีโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดอันตรายหากคลอดเอง เช่น เป็นความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ ฯลฯ หรือสายสะดือเคลื่อนออกทางช่องคลอด รวมถึงการตัดสินใจของตัวคุณแม่เองและครอบครัว

เวลา
     สามารถนัดหมายกับคุณหมอเพื่อกำหนดวันและเวลาผ่าคลอดได้ และเวลาที่ใช้ในการผ่าตัดก็ค่อนข้างแน่นอนคือประมาณ 1-2 ชั่วโมงค่ะ

กระบวนการ
     เมื่อคุณหมอพิจารณาแล้วว่าต้องผ่าตัดคลอด คุณแม่จะต้องเลือกว่า จะใช้วิธีการบล๊อกหลังหรือดมยา ถ้าดมยาคุณแม่จะสลบไปเลย ไม่รับรู้ว่าคุณหมอทำอะไรกับตัวเองบ้าง แต่ถ้าบล๊อกหลัง คุณหมอจะฉีดยาเข้าที่ไขสันหลังแล้วระหว่างผ่าตัดคุณแม่จะยังคงมีสติตลอดเวลา แต่ร่างกายส่วนล่างต่ำกว่าสะดือลงไปจะชา ทำอะไรก็ไม่รู้สึกระหว่างที่คุณหมอทำคลอด

     หลังจากเริ่มรู้สึกชาหรือหมดสติแล้ว คุณหมอจะเริ่มผ่าบริเวณหน้าท้องด้านล่าง ซึ่งมักผ่าตามแนวขวางที่เรียกว่า "บิกินี่" ยกกระเพาะปัสสาวะขึ้น กรีดมีดที่มดลูก แล้วเจาะถุงน้ำดูดน้ำคร่ำที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กออก ดึงตัวเด็กออกมา และขณะที่ลูกคลอดจะมีการฉีดยาซินโทมิทรีนเพื่อช่วยให้รกลอกตัว และทำคลอดรก จากนั้นจึงเย็บปิดแผล หลังผ่าตัดเสร็จแม่จะถูกพาไปห้องพักฟื้นหลังผ่าตัด เพื่อเฝ้าดูอาการ ส่วนลูกอาจไปที่ห้องทารกแรกเกิดเพื่อเฝ้าดูอาการต่อไป

หลังคลอด
     คุณแม่ที่ดมยาจะไม่ได้เห็นหน้าลูกทันที ต้องรอให้ฟื้นและร่างกายแข็งแรงก่อน หลังฟื้นจะรู้สึกเจ็บแผลผ่าตัดมาก เจ็บแน่นระคายคอ เพราะต้องใส่ท่อคาอยู่ในคอระหว่างผ่าตัด ส่วนคุณแม่ที่บล็อกหลัง หลังผ่าตัดจะไม่รู้สึกเจ็บทันที แต่ยังชาต่ออีก 2-3 ชั่วโมง และในช่วงนี้คุณแม่ต้องนอนราบต่ออีกประมาณ 12 ชั่วโมง เนื่องจากการบล็อคหลัง จึงต้องมีการใส่สายปัสสาวะให้ด้วย ถ้าหากคุณหมอใส่ยาแก้ปวดร่วมกับยาชาตอนบล็อกหลัง ก็จะไม่เจ็บแผลไปอีก 1 วันเต็มๆ

     หลังผ่าตัดคุณแม่ต้องงดน้ำงดอาหารประมาณ 24 ชั่วโมงจึงจะกลับมาเริ่มกินอาหารอ่อนๆ ได้

พักฟื้น
     คุณแม่จะต้องนอนพักในโรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์ ช่วงนี้ควรพยายามเดินหรือเคลื่อนไหวเพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด และการทำงานของระบบลำไส้ ยิ่งลุกขึ้นเดินมากเท่าไรแผลก็จะหายเร็วมากขึ้นเท่านั้น แต่อย่าเพิ่งยกของหรือออกกำลังกายหนักๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 6 สัปดาห์ แม้จะเห็นว่าแผลหายดีแล้วก็ตาม

ค่าใช้จ่าย
     โรงพยาบาลของรัฐ : ประมาณ 25,000 บาท
     โรงพยาบาลเอกชน : ประมาณ 35,000 บาท

     ความสัมพันธ์ของร่างกายระหว่างแม่กับลูก เป็นกลไกอันมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติจัดไว้ให้ระหว่างการคลอด เพราะฉะนั้นหากไม่มีความผิดปกติอะไร การคลอดธรรมชาติก็เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด และเพื่อให้การคลอดสมบูรณ์แบบที่สุดคุณแม่ควรเตรียมพร้อมทั้งกายและใจค่ะ

เกร็ดความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการคลอดธรรมชาติ
     ถ้าคุณแม่อยากคลอดธรรมชาติควรปรึกษากับคุณหมอที่ฝากครรภ์ตั้งแรก คุณหมอจะได้ตรวจเช็กร่างกายดูความกว้างของกระดูกเชิงกราน ขณะเดียวกันก็คุณแม่ก็ควรเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานและการเปลี่ยนแปลงของระบบต่างๆ ในร่างกาย เลือกออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายมีการยืดหยุ่นมากกว่าปกติ จะส่งผลให้คลอดง่าย และต้องควบคุมน้ำหนักตัวให้ขึ้นตามเกณฑ์คือประมาณ 10-12 กก. ถ้าน้ำหนักมากเกินไป ลูกในท้องอาจจะตัวใหญ่จนต้องผ่าคลอด

Bonding หรือสายสัมพันธ์แรกคลอด
     
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ส่งผลต่อความผูกพัน และทักษะชีวิตของลูก สำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอดต้องแยกกับลูกทันทีหลังคลอด โดยลูกต้องอยู่ในห้องทารกแรกเกิด ส่วนแม่ต้องพักฟื้นในห้องผู้ป่วยนอก ตรงนี้ทำให้สายสัมพันธ์แรกคลอดระหว่างแม่ลูกขาดหายไปได้ในระยะแรกๆ แต่สำหรับคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติแล้ว วินาทีแรกที่ลูกคลอดออกมาคุณหมอจะเอาลูกมาวางไว้บนตัวแม่ทั้งๆ ที่ยังไม่เช็ดตัว เพื่อให้แม่ชื่นชมและพูดอะไรกับลูก จากนั้นหลังทำความสะอาด ห่อตัวลูกเรียบร้อย เจ้าตัวเล็กก็จะอยู่ในอ้อมกอดและดูดนมคุณแม่ได้ทันที

ขอขอบคุณภาพประกอบและบทความ : ที่มา: เว็บไซต์รักลูกกรุ๊ป

Week 1-3 : สัปดาห์ที่ 1-3 ของการตั้งครรภ์
เซลล์ไข่เริ่มกลายเป็นตัวอ่อนและเจ...
2013-04-05

10 คำชมที่ลูกควรได้ยิน
10 คำชมที่ลูกควรได้ยิน (จากปากเรา)...
2013-06-10

การอาบน้ำเด็กทารกอย่างถูกวิธี
วันนี้เราเลยมีวิธีที่จะทำให้เด็กส...
2013-05-21

พัฒนาการของลูกน้อยช่วงวัย 4-6ปี และของเล่นที่เหมาะสม
พัฒนาการของลูกน้อยช่วงวัย 4-6ปี และข...
2013-07-02

การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจขณะตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ...
2013-04-25

Week 5 : สัปดาห์ที่ 5 ของการตั้งครรภ์
สัปดาห์นี้ ควรฝากครรภ์ได้แล้วนะ...
2013-03-29

9 วิธีเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์
คุณแม่ที่กำลังอยากจะมาบุตรต้องทำอ...
2013-06-28

การเลือกเพลงสำหรับเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่ควรมองข้าม
การเลือกเพลงสำหรับเด็กๆ ไม่ใช่เรื่...
2013-04-05

น้ำอสุจิ..ของเหลวสีขาวขุ่นชวนพิศวง
น้ำอสุจิ..ของเหลวสีขาวขุ่นชวนพิศวง...
2013-04-29

Week 13 : สัปดาห์ที่ 13 ของการตั้งครรภ์
เต้านมของคุณแม่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น, ...
2013-03-29